เพราะ...ความเป็นครูอยู่ที่ใจ
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=Z6pzkndjPnU
ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ
การแพทย์ วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ
ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วประชาชนส่วนใหญ่มีการศึกษาที่ดี
เพราะการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่
ความสำเร็จของแต่ละบุคคลและประเทศชาติ
อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกด้วย
บุคคลที่สามารถขับเคลื่อนพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าได้นั่นก็คือ "ครู"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่๙ ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาสำหรับประชาชนทุกคน
และประชาชนที่อยู่ในชนบทอย่างมาก
ดังที่ทรงได้มีพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในวันที่๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
ความตอนหนึ่งว่า... "การให้การศึกษา
คือ การให้คำแนะนำและส่งเสริมบุคคลให้มีความเจริญงอกงาม
ในการเรียนรู้คิดอ่าน
และการทำตามอัตภาพของแต่ละคน โดยจุดประสงค์ในที่สุด
คือ ให้บุคคลน้ำเอาความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ประโยชน์เกื้อกูลตน
เกื้อกูลผู้อื่นอย่างสอดคล้องและไม่ขัดแย้งเบียดเบียนแก่งแย่งกัน
เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันเป็นสังคมเป็นประเทศได้"
พระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่๙
ขยายโอกาส"การศึกษา"เสมือน"เปลวเทียน"ส่องทางแห่งปัญญา...สว่างไสวไปทั่วแผ่นดินไทย การศึกษาไทย
จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีจึงต้องอาศัย"ครู"ผู้เป็นเสาหลักในการพัฒนา ครู คือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ครู คือ"พหูสูต"ซึ่งพร้อมด้วย ศีล สมาธิ
ปัญญา และครู คือผู้ที่พร้อมจะเสียสละเพื่อศิษย์ของตน
ผู้ที่จะเป็นครูได้นั้นต้องมีความรอบรู้ มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชาการวิชาชีพ
มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรัก ความศรัทธาในวิชาชีพครู
มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง "ครู"อาชีพเล็กๆที่ใครหลายคนมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญ
อาจเนื่องมาจากสังคม
บางส่วนมองว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่ทำงานหนัก เงินเดือนน้อย
และหาความก้าวหน้าในชีวิตยาก ทัศนคติดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะสังคมอาจลืมคำนึงถึงว่าการที่จะประกอบอาชีพใดๆนั้นต้องเริ่มจากครูทั้งนั้น
ดังสำนวนที่ว่า"ครูสร้างคน คนสร้างชาติ"
ด้วยเหตุผลดังกล่าวฉันจึงมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู
เกิดความรักความศรัทธาในวิชาชีพครู จุดประกายความฝันเริ่มขึ้นเมื่อตอน
ชั้นประถมศึกษา
ฉันเป็นคนหนึ่งที่มีความผูกพันกับคุณครูตั้งแต่เรียนเตรียมอนุบาล ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเป็นเด็กกิจกรรม
ได้รับการอบรม
สั่งสอน ฝึกฝน ขัดเกลา ในศาสตร์ด้านต่างๆหลายแขนง เช่น ภาษาไทย ศิลปะ คณิตศาสตร์
แต่เมื่อเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ฉันเริ่มค้นพบตัวตนที่แท้จริงเมื่อตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วว่าฉันชอบวิชาภาษาไทย
และความฝันโตขึ้นอยากจะเป็นครู
ภาษาไทยให้ได้เหมือนครูดีในดวงใจที่ฉันชื่นชอบ
ฉันยังจดจำภาพในวันวานเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ครูจรรยา สุวรรณรัตน์"
ครูภาษาไทยที่หลายๆคนกล่าวถึงและเป็นที่รู้จักกัน ฉันอีกคนหนึ่งที่ได้รู้จักครูท่านนี้ตั้งแต่เข้าม.๑ แต่ยังไม่เคยได้เรียนกับท่าน
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจวบจนฉันอยู่ม.๕ ได้เรียนภาษาไทยกับครูจรรยา
ในเวลาเช้าของทุกๆวันครูจรรยาจะขับรถมาทำงานด้วยแววตาและหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
ทุกครั้งที่เจอลูกศิษย์ก็จะพูดคุยทักทายกันอย่างเป็นมิตร ทำให้ครูเป็นที่รักของศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ในห้องเล็กๆ
ที่เต็มไปด้วยนักเรียนทั้งชายหญิง ทุกครั้งที่ครูเข้ามาสอน
ครูไม่ได้สอนแค่เพียงความรู้ภาษาไทยในบทเรียนเท่านั้น
ทั้งยังสอดแทรก
บทเรียนชีวิตอีกด้วย
ทุกคำสอนของครูเปรียบเสมือนจุดประกาย
ความฝันของนักเรียน ด้วยความรัก
ความเมตตาที่ครูมอบให้
เพื่อให้ศิษย์ได้เป็นคนดีของสังคม
ดังคำกล่าวที่ว่า"ตำราที่ออกจากแป้นพิมพ์ย่อมเขียนเหมือนกันทุกเล่ม แต่ตำราที่ออกจากหัวใจ
ไม่มีเล่มใดที่เหมือนกัน เพราะครู คือผู้ให้อย่างแท้จริง"
นาฬิกาไม่เคยหยุดหมุน กาลเวลาผ่านมาจนถึงฉันอยู่ม.๖
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด เครียดที่สุด
และเปราะปางที่สุดในเวลาเดียวกันในการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ครูจรรยา คือบุคคล
ท่านหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษา
ให้กำลังใจกับฉันเสมอมา ฉันสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใยและความหวังดีที่ครูมอบให้
มีอยู่ครั้งหนึ่งความใฝ่ฝันที่ฉันเคยตั้งใจอยากจะเป็นครูภาษาไทย
ความมั่นใจ
ในจุดหมายปลายทาง แต่ตอนนั้นมันกำลังจะเจอทางแยก
ความมั่นใจในอนาคตของตัวเองหดหาย
ถูกแทนที่ด้วยความกลัว ความสับสนที่ผสมกับความผิดหวังเล็กๆกำลังทำร้ายเราอยู่
แต่แล้ว
คำพูดที่จุดประกายให้ฉันคิดได้"ลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง
คนที่ไม่ผ่านร้อนก็เป็นเพียงแค่ถ่าน แต่ถ้าผ่านก็จะกลายเป็นเพชร
จงพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง หนึ่งสมอง สองมือ เพื่อนทำได้ เราย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
เลือดน้ำเงินขาวจะต้องพราวอยู่ในสังคม "ครูจะรอแสดงความยินดีที่โสภิญาสอบติดครูภาษาไทยตามที่หนูหวังนะ
และแล้ววันนั้นก็มาถึงวันที่ฉันสอบติดครูภาษาไทยได้ตามที่หวัง
เมื่อท่านทราบข่าวท่านยินดีและดีใจกับฉันเป็นอย่างยิ่ง ครูบอกกับฉันว่า
จงตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองรักให้ประสบความสำเร็จ
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้น ไม่มีปลายทางไหนจะถูกพิชิตได้
ถ้ายังไม่เริ่มก้าวแรกของการเดินทาง
ศิษย์ระลึกถึงครู และครูคิดถึงศิษย์
ทุกคำสอนของครูยังก้องอยู่ในใจของฉันเสมอมา ครูทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจแม้จะต้องเหนื่อย
มากสักเพียงใด
แต่คนเป็นครูไม่เคยท้อถอย ถึงแม้ว่าตอนนี้ครูเกษียณอายุราชการแล้ว
แต่ความเป็นเป็นครูไม่มีวันที่จะเกษียณ
ครูจรรยา
เป็นบุคคลต้นแบบครูภาษาไทยที่ดีให้แก่ศิษย์และฉัน
อีกด้วย
จะขอสัญญาว่าเมื่อตนเรียนจบจะเป็นครูที่ดี เหมือนที่ท่าน
ได้ทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ที่ดีและสมบูรณ์แบบให้กับศิษย์คนนี้เสมอมา
เราได้ดี...เพราะคุณครู
อยากขอบคุณที่สั่งสอนมา ที่ทำให้เราได้พบกับ
ความฝันที่อยากเป็นจากใจ... จะไม่มีวันลืม
ที่มา : โสภิญา โอทอง (ผู้เขียนบทความ)
ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ
การแพทย์ วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ
ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วประชาชนส่วนใหญ่มีการศึกษาที่ดี
เพราะการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่
ความสำเร็จของแต่ละบุคคลและประเทศชาติ
อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกด้วย
บุคคลที่สามารถขับเคลื่อนพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าได้นั่นก็คือ "ครู"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่๙ ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาสำหรับประชาชนทุกคน
และประชาชนที่อยู่ในชนบทอย่างมาก
ดังที่ทรงได้มีพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในวันที่๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
ความตอนหนึ่งว่า... "การให้การศึกษา
คือ การให้คำแนะนำและส่งเสริมบุคคลให้มีความเจริญงอกงาม
ในการเรียนรู้คิดอ่าน
และการทำตามอัตภาพของแต่ละคน โดยจุดประสงค์ในที่สุด
คือ ให้บุคคลน้ำเอาความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ประโยชน์เกื้อกูลตน
เกื้อกูลผู้อื่นอย่างสอดคล้องและไม่ขัดแย้งเบียดเบียนแก่งแย่งกัน
เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันเป็นสังคมเป็นประเทศได้"
พระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่๙
ขยายโอกาส"การศึกษา"เสมือน"เปลวเทียน"ส่องทางแห่งปัญญา...สว่างไสวไปทั่วแผ่นดินไทย การศึกษาไทย
จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีจึงต้องอาศัย"ครู"ผู้เป็นเสาหลักในการพัฒนา ครู คือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ครู คือ"พหูสูต"ซึ่งพร้อมด้วย ศีล สมาธิ
ปัญญา และครู คือผู้ที่พร้อมจะเสียสละเพื่อศิษย์ของตน
ผู้ที่จะเป็นครูได้นั้นต้องมีความรอบรู้ มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชาการวิชาชีพ
มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรัก ความศรัทธาในวิชาชีพครู
มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง "ครู"อาชีพเล็กๆที่ใครหลายคนมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญ
อาจเนื่องมาจากสังคม
บางส่วนมองว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่ทำงานหนัก เงินเดือนน้อย
และหาความก้าวหน้าในชีวิตยาก ทัศนคติดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะสังคมอาจลืมคำนึงถึงว่าการที่จะประกอบอาชีพใดๆนั้นต้องเริ่มจากครูทั้งนั้น
ดังสำนวนที่ว่า"ครูสร้างคน คนสร้างชาติ"
ด้วยเหตุผลดังกล่าวฉันจึงมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู
เกิดความรักความศรัทธาในวิชาชีพครู จุดประกายความฝันเริ่มขึ้นเมื่อตอน
ชั้นประถมศึกษา
ฉันเป็นคนหนึ่งที่มีความผูกพันกับคุณครูตั้งแต่เรียนเตรียมอนุบาล ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเป็นเด็กกิจกรรม
ได้รับการอบรม
สั่งสอน ฝึกฝน ขัดเกลา ในศาสตร์ด้านต่างๆหลายแขนง เช่น ภาษาไทย ศิลปะ คณิตศาสตร์
แต่เมื่อเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ฉันเริ่มค้นพบตัวตนที่แท้จริงเมื่อตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วว่าฉันชอบวิชาภาษาไทย
และความฝันโตขึ้นอยากจะเป็นครู
ภาษาไทยให้ได้เหมือนครูดีในดวงใจที่ฉันชื่นชอบ
ฉันยังจดจำภาพในวันวานเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ครูจรรยา สุวรรณรัตน์"
ครูภาษาไทยที่หลายๆคนกล่าวถึงและเป็นที่รู้จักกัน ฉันอีกคนหนึ่งที่ได้รู้จักครูท่านนี้ตั้งแต่เข้าม.๑ แต่ยังไม่เคยได้เรียนกับท่าน
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจวบจนฉันอยู่ม.๕ ได้เรียนภาษาไทยกับครูจรรยา
ในเวลาเช้าของทุกๆวันครูจรรยาจะขับรถมาทำงานด้วยแววตาและหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
ทุกครั้งที่เจอลูกศิษย์ก็จะพูดคุยทักทายกันอย่างเป็นมิตร ทำให้ครูเป็นที่รักของศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ในห้องเล็กๆ
ที่เต็มไปด้วยนักเรียนทั้งชายหญิง ทุกครั้งที่ครูเข้ามาสอน
ครูไม่ได้สอนแค่เพียงความรู้ภาษาไทยในบทเรียนเท่านั้น
ทั้งยังสอดแทรก
บทเรียนชีวิตอีกด้วย
ทุกคำสอนของครูเปรียบเสมือนจุดประกาย
ความฝันของนักเรียน ด้วยความรัก
ความเมตตาที่ครูมอบให้
เพื่อให้ศิษย์ได้เป็นคนดีของสังคม
ดังคำกล่าวที่ว่า"ตำราที่ออกจากแป้นพิมพ์ย่อมเขียนเหมือนกันทุกเล่ม แต่ตำราที่ออกจากหัวใจ
ไม่มีเล่มใดที่เหมือนกัน เพราะครู คือผู้ให้อย่างแท้จริง"
นาฬิกาไม่เคยหยุดหมุน กาลเวลาผ่านมาจนถึงฉันอยู่ม.๖
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด เครียดที่สุด
และเปราะปางที่สุดในเวลาเดียวกันในการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ครูจรรยา คือบุคคล
ท่านหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษา
ให้กำลังใจกับฉันเสมอมา ฉันสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใยและความหวังดีที่ครูมอบให้
มีอยู่ครั้งหนึ่งความใฝ่ฝันที่ฉันเคยตั้งใจอยากจะเป็นครูภาษาไทย
ความมั่นใจ
ในจุดหมายปลายทาง แต่ตอนนั้นมันกำลังจะเจอทางแยก
ความมั่นใจในอนาคตของตัวเองหดหาย
ถูกแทนที่ด้วยความกลัว ความสับสนที่ผสมกับความผิดหวังเล็กๆกำลังทำร้ายเราอยู่
แต่แล้ว
คำพูดที่จุดประกายให้ฉันคิดได้"ลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง
คนที่ไม่ผ่านร้อนก็เป็นเพียงแค่ถ่าน แต่ถ้าผ่านก็จะกลายเป็นเพชร
จงพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง หนึ่งสมอง สองมือ เพื่อนทำได้ เราย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
เลือดน้ำเงินขาวจะต้องพราวอยู่ในสังคม "ครูจะรอแสดงความยินดีที่โสภิญาสอบติดครูภาษาไทยตามที่หนูหวังนะ
และแล้ววันนั้นก็มาถึงวันที่ฉันสอบติดครูภาษาไทยได้ตามที่หวัง
เมื่อท่านทราบข่าวท่านยินดีและดีใจกับฉันเป็นอย่างยิ่ง ครูบอกกับฉันว่า
จงตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองรักให้ประสบความสำเร็จ
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้น ไม่มีปลายทางไหนจะถูกพิชิตได้
ถ้ายังไม่เริ่มก้าวแรกของการเดินทาง
ศิษย์ระลึกถึงครู และครูคิดถึงศิษย์
ทุกคำสอนของครูยังก้องอยู่ในใจของฉันเสมอมา ครูทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจแม้จะต้องเหนื่อย
มากสักเพียงใด
แต่คนเป็นครูไม่เคยท้อถอย ถึงแม้ว่าตอนนี้ครูเกษียณอายุราชการแล้ว
แต่ความเป็นเป็นครูไม่มีวันที่จะเกษียณ
ครูจรรยา
เป็นบุคคลต้นแบบครูภาษาไทยที่ดีให้แก่ศิษย์และฉัน
อีกด้วย
จะขอสัญญาว่าเมื่อตนเรียนจบจะเป็นครูที่ดี เหมือนที่ท่าน
ได้ทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ที่ดีและสมบูรณ์แบบให้กับศิษย์คนนี้เสมอมา
เราได้ดี...เพราะคุณครู
อยากขอบคุณที่สั่งสอนมา ที่ทำให้เราได้พบกับ
ความฝันที่อยากเป็นจากใจ... จะไม่มีวันลืม
ที่มา : โสภิญา โอทอง (ผู้เขียนบทความ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น