อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?v=a8g7heGt3yk
๑. สมัยที่แต่ง
นิราศเมืองแกลงเป็นนิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่
สันนิษฐานว่าแต่งในรัชกาลที่๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ สันนิษฐานว่าสุนทรภู่อายุประมาณ ๒๐ ปี
๑.๑ บอกจุดประสงค์ในการแต่งนิราศเมืองแกลงด้านประวัติ
แสดงให้เห็น ถึงว่าสุนทรภู่อายุยังน้อย แต่ก็คงเป็นผู้ที่มีความสามารถ
จึงมีผู้มาสมัครเป็นศิษย์และคงจะมีอายุไล่เลี่ยกัน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้อยสองนายล้วนชายหนุ่ม
น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ
จะพากันแรมทางไปต่างเมือง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๒. จุดมุ่งหมายในการแต่ง
จุดมุ่งหมายในการแต่งนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่
คือ สุนทรภู่คิดถึงบิดาและตั้งใจจะไปบวชบ้างก็ว่าตั้งใจจะไปบอกบิดาว่าตอนนี้กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา
และมีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วย จากการเดินทางเมืองแกลงในครั้งนี้เป็นตอนที่สุนทรภู่มีความรักเป็นครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรักโดยที่ไม่ได้บอกลากับหญิงคนรักก็คือแม่จัน นั่นเอง
๒.๑ สุนทรภู่คิดถึงบิดา
ตั้งใจจะไปหาบิดา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย
จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว
ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว
ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
(นิราศเมืองแกลง : ๙๗)
๒.๒
จุดประสงค์ในการแต่งนิราศ
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก
เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย
ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอยฯ
(นิราศเมืองแกลง : ๑๐๑)
๒.๓ สาเหตุที่สุนทรภู่จำต้องเดินทางจากนางอีกสาเหตุหนึ่ง
นอกเหนือจากการต้องการไปเยี่ยมบิดา
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต
ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี
ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓. เนื้อเรื่องย่อ
นิราศเมืองแกลงมีเนื้อหาเป็นช่วงชีวิตหนึ่งของสุนทรภู่
เป็นตอนที่มีความรักครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรัก
การคร่ำครวญ
ความรักในนิราศจึงแสดงถึงความทุกข์ ความห่วงใย
ความอาลัย
ของการพลัดพรากจากคนรักโดยมีเนื้อเรื่องย่อดังนี้
นิราศเมืองแกลงมีเรื่องราวเกี่ยวกับสุนทรภู่เดินทางไปเยี่ยมบิดาซึ่งบวชอยู่ที่ตำบลบ้านกร่ำอำเภอแกลงจังหวัดระยองนิราศเรื่องนี้สุนทรภู่ได้เริ่มต้นโดยการกล่าวพรรณนาความน้อยใจที่มีคนรัก
แต่ไม่ได้อยู่ใกล้กัน(คือแม่จันภรรยาคนแรกของสุนทรภู่)การจากนางไปในครั้งนี้ยังไม่ทันได้ล่ำลาใดๆทั้งนั้น การเดินทางไปเมืองแกลง
ในครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางไปด้วยเป็นศิษย์
๒ คน คือ น้อยกับพุ่ม
และนายแสงซึ่งเป็นคนนำทางลงเรืออกจากกรุงเทพฯ(ออกจากพระราชวังหลัง) ล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสำโรง คลองหัวตะเข้
ออกแม่น้ำบางปะกงขึ้นบกที่บางปลาสร้อย หนองมน บางพระ ศรีราชา ทุ่งสาขลา บางละมุง
ทุ่งพัทยา ห้วยอีร้า ห้วยโป่ง ห้วยพร้าว สุนักข์กะบาก บ้านทับม้า ระยอง บ้านแลง คลองกรุ่น
บ้านแกลง ชายทะเลแหลมทองหลวง ชะวาลาวน และถึงที่หมายปลายทาง
นั่นก็คือบ้านกร่ำ
นิราศเมืองแกลงมีเนื้อหาเป็นช่วงชีวิตหนึ่งของ
สุนทรภู่เป็นตอนที่มีความรักครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรัก
การคร่ำครวญความรักในนิราศจึงแสดงถึงความทุกข์ความห่วงใย ความอาลัยของการพลัดพรากจากคนรัก
๓.๑
ข้อสันนิษฐานในช่วงต้นเรื่อง
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม
น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอรัญ
จะพากันแรมทางไปกลางเมือง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๓.๒
การเดินทางในครั้งนี้สุนทรภู่ไม่ได้บอกกล่าวกับแม่จัน
ขออารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล
ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแพง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง
เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต
ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี
ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓.๓
สะท้อนถึงความกังวลเรื่องความรักกับแม่จัน
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา
ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
(นิราศเมืองแกลง : ๑๐๑)
๓.๔
มีการฝากน้องและมารดากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง
เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย
เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๓.๕
เดินทางผ่านคลองสำโรง
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ
ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ
พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓.๖ เดินทางผ่านคลองหัวตะเข้
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร
ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก
ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
(นิราศเมืองแกลง : ๘๔)
๓.๗ เดินทางผ่านหนองมน
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย
เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
ถึงหนองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่
เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๘)
๓.๘
เดินทางผ่านบางละมุง
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป
ค่อยคลายใจจรเลียบชลามา
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม
ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
(นิราศเมืองแกลง :
๙๐)
๓.๙
เดินทางผ่านทุ่งพัทยา
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา
นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
บุกละแวกแฝกแขมที่แอร่มรก
กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
(นิราศเมืองแกลง : ๙๐)
๓.๑๐
เดินทางผ่านห้วยอีร้า
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด
ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป
ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
(นิราศเมืองแกลง : ๙๓)
๓.๑๑
เดินทางผ่านห้วยโป่ง
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล
คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น
บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
(นิราศเมืองแกลง : ๙๓-๙๔)
๓.๑๒
เดินทางผ่านห้วยพร้าว
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า
เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม
อุระปิ้มศรปักสลักทรวง
(นิราศเมืองแกลง : ๙๔)
๓.๑๓
เดินทางผ่านระยอง
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต
ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
จากระยองย่องตามกันสามคน
เลียบถนนคันนาป่ารำไร
(นิราศเมืองแกลง : ๙๕)
๓.๑๔
เดินทางผ่านบ้านแลง
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป
ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
ถึงบ้านแลทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง
เฟือนหนทางทวนทบตลบหา
(นิราศเมืองแกลง : ๙๕)
๓.๑๕
เดินทางผ่านบ้านแกลง
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง
เห็นฝูงนางสานเสื่อเห็นเหลือใจ
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก
จนมือหงิกงอแงไม่แบได้
(นิราศเมืองแกลง : ๙๖)
๓.๑๖
เดินทางถึงบ้านกร่ำ
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ
ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา
กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
(นิราศเมืองแกลง : ๙๗)
๔. คุณค่า
๔.๑ คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๔.๑.๑
การดำเนินเรื่องมีความเร้าใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามไปตลอดเรื่อง
การดำเนินเรื่องจะบรรยายไปตามระยะเวลา
ของการเดินทาง กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ของผู้คนที่พบเห็นวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ธรรมชาติที่พบเห็น สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ
และยังได้สอดแทรกคติธรรม ทำให้ผู้อ่านติดใจในถ้อยคำ
ที่บรรยายธรรมชาติที่งดงาม ในนิราศเรื่องนี้ใช้ความรัก
ความอาลัยเป็นแก่นเรื่องเพื่อสร้างเรื่องให้งดงามสะเทือนอารมณ์
ตัวอย่าง
๑.)
สภาพชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพ
อันพวกเขาชาวประมงไม่โหยงหยิบ
ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล
ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป
แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม
ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
(นิราศเมืองแกลง : ๘๗)
๒.)
อารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงด้วยการกล่าวให้เกิดความสะเทือนใจ หรือเกิดความรู้สึก
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด
กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย
เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก
ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย
เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ
(นิราศเมืองแกลง : ๘๕)
๓.)
แสดงอารมณ์สะเทือนใจของกวี ให้เห็นถึงทุกข์
อันเกิดจากการพลัดพรากจากคนรัก
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๔.๑.๒ ลักษณะคำประพันธ์
นิราศเมืองแกลงแต่งเป็นกลอน เลือกใช้ถ้อยคำที่มีสัมผัสเพื่อให้กลอนมีความไพเราะความสำคัญ
ของนิราศอยู่ที่อารมณ์สะเทือนใจ แนวนึกคิดของกวีที่แสดงออก
ในนิราศดีเด่นประทับใจผู้อ่าน
ทำให้กลอนเกิดเสียงเสนาะ
ตัวอย่าง
๑.)
ความสะเทือนใจของกวีที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดอารมณ์และถ่ายทอดออกมา
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้
คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
หอมสุคนธ์เคียงกายขจายจร
โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๔.๑.๓
การใช้ถ้อยคำ ที่สั้นและง่ายทำให้ความกระชับ
และให้ภาพเด่นชัดใช้เสียงของถ้อยคำให้เกิดอารมณ์ได้อย่างวิเศษ การเล่นคำ พลิกแพลงคำ ใช้คำพ้องรูป
พ้องเสียง เพื่อให้การใช้เสียงอ่อนหวานเสนาะหู การซ้ำเสียง การใช้โวหาร
เป็นการสื่อสารที่กระทบอารมณ์ผู้อ่านได้อย่างลึกซึ้ง
ตัวอย่าง
๑.) ใช้โวหารภาพพจน์อุปลักษณ์ เช่น ดวงกานดา
หมายถึง นางอันเป็นที่รัก
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง
แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า
จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา
โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๒.) การเล่นคำและเล่นความ คือ คำว่า “ปลื้ม” เป็นการพลิกแพลงคำ
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์
สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง
( นิราศเมืองแกลง : ๘๑
)
๓.) การใช้โวหารภาพพจน์อุปมา
ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่ง
ยิ่งดียิ่งเสียใจใครจะเหมือน
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือน
จนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่
กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ
เดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๔.) การเล่นคำ พ้องรูป พ้องเสียง
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้าง
พี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชาย
แม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๕.) การเล่นคำสัมผัสอักษร
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น
ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน
เขาแจวจ้องล่องแล่นแสนสำราญ
มาพบบ้านบางระจ้าวยิ่งเศร้าใจ
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน
จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
ศศิธรอ่อนแออับพยับไพร
ถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๖.) ใช้โวหารภาพพจน์อุปลักษณ์
เปรียบเทียบกระแสน้ำที่ไหลคดเคี้ยวกับน้ำใจไม่ซื่อตรง
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ
ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงรำราญใจ
พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิง
ดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคอง
ก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด
ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป
นี่หรือใจที่จะตรงอย่างสงกา
(นิราศเมืองแกลง
: ๘๒)
๗.) ใช้คำบรรยายให้เกิดจิตนาการ ( พรรณนาโวหาร
)
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้าย
ตะวันสายแสงส่องต้องพฤกษา
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวา
เป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบ
ระแนบนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรัน
เป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ
(นิราศเมืองแกลง : ๘๓)
๘.) การให้อารมณ์
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบหรุบรู่
ยุงออกฉู่ชิงตลบตบไม่ไหว
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟ
แต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง
มากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย
แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่อง
เข้าในคลองคึกคักกันนักหนา
ด้วยมือมัวกลัวตอต้องรอรา
นาวามาเรียงตามกันหลามทาง
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้ง
ทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์
วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝก
ทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัย
เช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย
(นิราศเมืองแกลง : ๘๔)
๙.) ใช้อุปมาโวหาร
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด
มาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
(นิราศเมืองแกลง : ๘๕-๘๖)
๔.๒ คุณค่าด้านความรู้
๔.๒.๑ เขาสร้างศาลเทพาพยายาม
กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้
โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา
เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโทสก
ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ
ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง
เขาว่าลิงจองหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพานลุกลน
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๔)
๔.๒.๒ ที่ขายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง
ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง
พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
ดูก็งามตามประสาพนาเวศ
ไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์
(นิราศเมืองแกลง : ๘๘)
๔.๒.๓ โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดา
ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
เขาจับผัวตัวทิ้งไว้กลางน้ำ
ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย
โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วย
เป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี
(นิราศเมืองแกลง : ๙๐)
๕.ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในเรื่อง
๕.๑ ความเชื่อ
๑.) ขออารักษ์หลักประเทศนิเวสน์วัง
เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย
เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร
ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแผ้วพาน
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๒.) ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล
ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง
เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓.) ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ
ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย
ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง
เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางนางตะเคียงทะนอง
ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก
เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนตำ
ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
พวกเรือพี่สี่คนขนสยอง
ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
พ้นระวางนางรุกขฉายา
ต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง
(นิราศเมืองแกลง ๘๔.)
๔.) แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้าง
ถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพัน
สะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์
กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัว
ให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์
(นิราศเมืองแกลง
:
๙๑ – ๙๒)
๕.๒
คุณค่าด้านสภาพชีวิตและสังคมในสมัยโบราณ
คุณค่าที่แสดงสภาพชีวิตและสังคมในสมัยโบราณ
๑.) ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ
แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน
ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย
นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๒.) ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ
ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง
ต้องลากจูงจ้างควายอยู่รายเรียง
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด
เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง
บ้างทุ่มเถียงโดนดุกันวุ่นวาย
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้ง
เห็นนายแสงเป็นผู้ใหญ่ก็ใจหาย
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลาย
เห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน
(นิราศเมืองแกลง : ๘๓)
๓.) แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช
ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา
เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ
พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยแลนล้วงปูดูโซเซ
สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้าน
ถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวมองคอย
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอย
เอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน
(นิราศเมืองแกลง : ๘๗)
อ้างอิง : หนังสือชีวิตและงานสุนทรภู่